วิชาวิทยาศาสตร์
วิชาวิทยาศาสตร์
1.ส่วนประกอบใดของเซลล์ที่พบทั้งในเซลล์พืชและเซลล์สัตว์
1. นิวเคลียส 2. ผนังเซลล์
3. คลอโรฟิลล์ 4. คลอโรพลาสต์
2. ถ้ากล่าวว่า “แมลงช้างปีกใสดูดกินเพลี้ยชนิดต่าง ๆ ได้” แมลงช้างปีกใสและเพลี้ยมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
1. ทั้งสองชนิดได้ประโยชน์ร่วมกัน
2. ทั้งสองชนิดต้องพึ่งพากันและกัน
3. ชนิดหนึ่งได้ประโยชน์ อีกชนิดหนึ่งเสียประโยชน์
4. ชนิดหนึ่งได้ประโยชน์ อีกชนิดหนึ่งไม่ได้ไม่เสียประโยชน์
3. การศึกษาเต่าญี่ปุ่นในแหล่งน้ำของไทย พบว่า มีการกระจายพันธ์ได้ดี เติบโตเร็ว อดทนสูง และดินไข่ปลาและไข่เต่านา ซึ่งเป็นสัตว์ประจำถิ่นของไทยเป็นอาหารจากสิ่งที่ค้นพบ ให้ระบุผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ
1. ผู้ผลิตมีจำนวนลดลง 2. ปลาและเต่านามีจำนวนคงเดิม
3. ผู้ล่ามีจำนวนเพิ่มขึ้น 4. สัตว์ชนิดอื่นที่กินปลามีจำนวนเพิ่มขึ้น
4. น้ำเกลือและน้ำเชื่อมจัดเป็นสารชนิดใด
1. สารละลาย 2. สารเนื้อผสม
3. สารบริสุทธิ์ 4. สารประกอบ
5. ผลักวัตถุด้วยแรง 3 นิวตัน ในแนวขนานกับพื้น ทำให้วัตถุเคลื่อนที่ไปบนพื้นราบเป็นระยะทาง 12 เมตร จะเกิดงานเนื่องจากผลักวัตถุเท่าใด
1. 4 นิวตัน – เมตร 2. 9 นิวตัน – เมตร
3. 15 นิวตัน – เมตร 4. 36 นิวตัน – เมตร
6.บ้านหลังหนึ่งใช้ไฟฟ้า 220 โวลต์ และฟิวส์ขนาด 10 แอมแปร์ การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านทุกเครื่องรวมกันไม่ควรเกินเท่าใด
1. 22 วัตต์ 2. 220 วัตต์
3. 2,200 วัตต์ 4. 22 กิโลวัตต์3
7. ตาราง กำลังไปฟ้าและระยะเวลาที่ใช้งานของหลอดไฟฟ้า A และ B
ชนิดของหลอดไฟฟ้า | กำลังไฟฟ้า | ระยะเวลาที่ใช้งาน(ชั่วโมง) |
A | 75 | 150 |
B | 20 | 150 |
กำหนดให้ 1 หน่วย = 1 กิโลวัตต์ – ชั่วโมง
หลอกไฟ A ใช้พลังงานไฟฟ้าสูงกว่าหลอกไฟ B กี่หน่วย
1. 55 2. 3.00
3. 8.25 4. 11.25
8. ตาราง พลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์ของก้อนหินก้อนหนึ่ง ที่กำลังตกจากหน้าผาในระดับสูงต่าง ๆ
ความสูงของก้อนหิน เหนือพื้นดิน( เมตร ) | พลังงานศักย์โน้มถ่วง( จูล ) | พลังงานจลน์ ( จูน ) |
60 40 20 0 | 1,200 A 400 C | 0 400 B 1,200 |
จากข้อมูลในตาราง A B และ C มีค่ากี่จูล เรียงตามลำดับ
1.1,200 800 และ 400 2. 800 800 และ 400
3. 800 800 และ 0 4. 800 400 และ 0
9. อุณหภูมิของโลกในปัจจุบันนี้สูงขึ้นเนื่องจากสาเหตุใดมากที่สุด
1. ภูเขาไฟระเบิด 2. ชั้นโอโซนเบาบางลง
3. มีการเผาไหม้น้ำมันเชื่อเพลิงมากขึ้น 4. น้ำแข็งขั้วโลกมีปริมาณลดลง
10. วัตถุท้องฟ้าที่เผาไหม้หมดในชั้นบรรยากาศ และกำลังตกลงสู่พื้นที่โลกเรียกว่า
1. ดาวตก 2. ผีพุ่งไต้
2. อุกกาบาต 4. ดาวหาง
ด.ญ.สุมินตรา ประกอบศรี เลขที่ 3 ม.3/4
เฉลย
<!--[if !supportLists]-->1. <!--[endif]-->1
<!--[if !supportLists]-->2. <!--[endif]-->3
<!--[if !supportLists]-->3. <!--[endif]-->3
<!--[if !supportLists]-->4. <!--[endif]-->1
<!--[if !supportLists]-->5. <!--[endif]-->4
<!--[if !supportLists]-->6. <!--[endif]-->3
<!--[if !supportLists]-->7. <!--[endif]-->3
<!--[if !supportLists]-->8. <!--[endif]-->8
<!--[if !supportLists]-->9. <!--[endif]-->3
<!--[if !supportLists]-->10. <!--[endif]-->3
โครงงาน
โครงงาน
| การเขียนรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นการเสนอผลงานการดำเนินการเป็นเอกสาร |
| จัดว่าเป็นขั้นตอนสำคัญอีกประการหนึ่งของโครงงาน เมื่อนักเรียนดำเนินการทำโครงงานจนครบ |
| ขั้นตอนได้ข้อมูล ทำการวิเคราะห์ข้อมูล พร้อมทั้งแปรผล และสรุปผลแล้ว งานขั้นต่อไปที่ต้องทำคือ |
| การเขียนรายงาน |
| การเขียนรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นวิธีสื่อความหมายที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง |
| เพื่อให้คนอื่น ๆ ได้เข้าใจแนวความคิด วิธีดำเนินงานศึกษาค้นคว้าข้อมูล ผลที่ได้ตลอดจนข้อสรุป |
| และข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงงานนั้น |
| 1. ชื่อโครงงาน |
| 2. ชื่อผู้จัดทำโครงงาน |
| 3. ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน |
| 4. บทคัดย่อ |
| 5. กิตติกรรมประกาศ (คำขอบคุณ) |
| 6. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน |
| 7. วัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน |
| 8. สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า (ถ้ามี) |
| 9. ขอบเขตของการทำโครงงาน |
| 10.วิธีดำเนินการ |
| 11.ผลการศึกษาค้นคว้า |
| 12. สรุปผลและข้อเสนอแนะ |
| 13. เอกสารอ้างอิง |
| 1. ชื่อโครงงาน |
| ชื่อโครงงานเป็นสิ่งสำคัญประการแรก เพราะชื่อโครงการจะช่วยโยงความคิดไปถึงวัตถุประสงค์ของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ และควรกำหนดชื่อโครงการให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักด้วย |
| การตั้งชื่อโครงงานของนักเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา นิยมตั้งชื่อให้มีความกะทัดรัดและดึงดูดความสนใจจากผู้อ่าน ผู้ฟัง แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึง คือ ผู้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ต้องเข้าใจปัญหาที่สนใจศึกษาอย่างแท้จริง อันจะนำไปสู่การเข้าใจวัตถุประสงค์ของการศึกษาอย่างแท้จริงด้วย เช่น |
| โครงงานวิทยาศาสตร์ ชื่อ “ถุงพลาสติกพิชิตแมลงวันตัวน้อย” ซึ่งปัญหาเรื่องที่สนใจศึกษาคือถุงน้ำพลาสติกสามารถไล่แมลงวันที่มาตอมอาหารได้จริงหรือ จากเรื่องดังกล่าวผู้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ บางคนหรือบางคณะอาจสนใจตั้งชื่อโครงงานวิทยาศาสตร์ ว่า “การศึกษาการไล่แมลงวันด้วยถุงน้ำพลาสติก” หรือ “ผลการใช้ถุงน้ำพลาสติกต่อการไล่แมลงวัน” ก็เป็นได้ |
| อย่างไรก็ตามจะตั้งชื่อโครงการในแบบใด ๆ นั้น ต้องคำนึงถึงความสามารถที่จะสื่อความหมายถึงวัตถุประสงค์ที่ต้องการศึกษาได้ชัดเจน |
| 2. ชื่อผู้จัดทำโครงงาน |
| การเขียนชื่อผู้รับผิดชอบโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งดีเพื่อจะได้ทราบว่าโครงงานนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของใครและสามารถติดตามได้ที่ใด |
| 3. ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน |
| การเขียนชื่อผู้ให้คำปรึกษาควรให้เกียรติยกย่องและเผยแพร่ รวมทั้งขอบคุณที่ได้ให้คำแนะนำการทำโครงงานวิทยาศาสตร์จนบรรลุเป้าหมาย |
| 4. บทคัดย่อ |
| อธิบายถึงที่มาและความสำคัญของโครงงาน วัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการ และผลที่ได้ |
| ตลอดจนข้อสรุปต่าง ๆ อย่างย่อประมาณ 300-350 คำ |
| (ถ้าใช้โปรแกรม Microsoft Word ในการพิมพ์สามารถตรวจสอบจำนวนคำจาก |
| เมนูเครื่องมือ เลือกคำสั่งนับจำนวนคำ...) |
![]() |
| 5. กิตติกรรมประกาศ (คำขอบคุณ) |
| ส่วนใหญ่โครงงานวิทยาศาสตร์มักจะเป็นกิจกรรมที่ได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย |
| ดังนั้นเพื่อเป็นการเสริมสร้างบรรยากาศของความร่วมมือ จึงควรได้กล่าวขอบคุณบุคลากรหรือ |
| หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีส่วนช่วยให้โครงงานนี้สำเร็จด้วย |
| 6. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน |
| ในการเขียนที่มาและความสำคัญของโครงงานวิทยาศาสตร์ ผู้ทำโครงงานจำเป็นต้องศึกษา หลักการทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องที่สนใจจะศึกษา หรือพูดเข้าใจง่าย ๆ ว่าเรื่องที่สนใจจะศึกษานั้นต้องมีทฤษฎีแนวคิดสนับสนุน เพราะความรู้เหล่านี้จะเป็นแนวทางสำคัญในเรื่องต่อไปนี้ |
| - แนวทางตั้งสมมติฐานของเรื่องที่ศึกษา |
| - แนวทางในการออกแบบการทดลองหรือการรวบรวมข้อมูล |
| - ใช้ประกอบการอภิปรายผลการศึกษา ตลอดจนเสนอแนะเพื่อนำความรู้และ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่ค้นพบไปใช้ประโยชน์ต่อไป |
| การเขียนที่มาและความสำคัญของโครงงาน คือ การอธิบายให้กระจ่างชัดว่าทำไม ต้องทำ ทำแล้วได้อะไร หากไม่ทำจะเกิดผลเสียอย่างไร ซึ่งมีหลักการเขียนคล้ายการเขียนเรียงความ ทั่ว ๆ ไป คือ มีคำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป |
ส่วนที่ 1 คำนำ : |
| เป็นการบรรยายถึงนโยบาย เกณฑ์ สภาพทั่ว ๆ ไป หรือปัญหาที่มีส่วนสนับสนุนให้ริเริ่มทำโครงงานวิทยาศาสตร์ |
| ส่วนที่ 2 เนื้อเรื่อง : |
| อธิบายถึงรายละเอียดเชื่อมโยงให้เห็นประโยชน์ของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ โดยมี หลักการ ทฤษฎีสนับสนุนเรื่องที่ศึกษา หรือการบรรยายผลกระทบ ถ้าไม่ทำโครงงานเรื่องนี้ |
ส่วนที่ 3 สรุป : |
| สรุปถึงความจำเป็นที่ต้องดำเนินการตามส่วนที่ 2 เพื่อแก้ไขปัญหา ค้นข้อความรู้ใหม่ ค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ให้เป็นไปตามเหตุผลส่วนที่ 1 |
| 7. วัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน |
| วัตถุประสงค์ คือ กำหนดจุดมุ่งหมายปลายทางที่ต้องการให้เกิดจากการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ในการเขียนวัตถุประสงค์ ต้องเขียนให้ชัดเจน อ่านเข้าใจง่ายสอดคล้องกับชื่อโครงงาน หากมีวัตถุประสงค์หลายประเด็น ให้ระบุเป็นข้อ ๆ การเขียนวัตถุประสงค์มีความสำคัญต่อแนวทาง การศึกษา ตลอดจนข้อความรู้ที่ค้นพบหรือสิ่งประดิษฐ์ที่ค้นพบนั้นจะมีความสมบูรณ์ครบถ้วน คือ ต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทุก ๆ ข้อ |
| 8. สมมติฐานของการศึกษา |
| สมมติฐานของการศึกษา เป็นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ผู้ทำโครงงาน ต้องให้ความสำคัญ เพราะจะทำให้เป็นการกำหนดแนวทางในการออกแบบการทดลองได้ชัดเจนและรอบคอบ ซึ่งสมมติฐานก็คือ การคาดคะเนคำตอบของปัญหาอย่างมีหลักและเหตุผล ตามหลักการ ทฤษฎี รวมทั้งผลการศึกษาของโครงงานที่ได้ทำมาแล้ว |
| 9. ขอบเขตของการทำโครงงาน |
| ผู้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ต้องให้ความสำคัญต่อการกำหนดขอบเขตการทำโครงงาน เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่น่าเชื่อถือ ซึ่งได้แก่ การกำหนดประชากร กลุ่มตัวอย่าง ตลอดจนตัวแปรที่ศึกษา |
| 1. การกำหนดประชากร และกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา คือ การกำหนดประชากรที่ศึกษาอาจเป็นคนหรือสัตว์หรือพืช ชื่อใด กลุ่มใด ประเภทใด อยู่ที่ไหน เมื่อเวลาใด รวมทั้งกำหนด กลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดเหมาะสมเป็นตัวแทนของประชากรที่สนใจศึกษา |
| 2. ตัวแปรที่ศึกษา การศึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์ ส่วนมากมักเป็นการศึกษาความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล หรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตั้งแต่ 2 ตัวแปรขึ้นไป การบอกชนิดของ ตัวแปรอย่างถูกต้องและชัดเจน รวมทั้งการควบคุมตัวแปรที่ไม่สนใจศึกษา เป็นทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ที่ผู้ทำโครงงานต้องเข้าใจ ตัวแปรใดที่ศึกษาเป็นตัวแปรต้น ตัวแปรใดที่ศึกษาเป็น ตัวแปรตาม และตัวแปรใดบ้างเป็นตัวแปรที่ต้องควบคุมเพื่อเป็นแนวทางการออกแบบการทดลอง ตลอดจนมีผลต่อการเขียนรายงานการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง สื่อความหมายให้ผู้ฟังและ ผู้อ่านให้เข้าใจตรงกัน |
| 10. วิธีดำเนินการ |
| วิธีดำเนินการ หมายถึง วิธีการที่ช่วยให้งานบรรลุตามวัตถุประสงค์ของการทำ โครงงาน ตั้งแต่เริ่มเสนอโครงการกระทั่งสิ้นสุดโครงการ ซึ่งประกอบด้วย |
| 1. การกำหนดประชากร กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา |
| 2. การสร้างเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล |
| 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล |
| 4. การวิเคราะห์ข้อมูล |
| ในการเขียนวิธีดำเนินการให้ระบุกิจกรรมที่ต้องทำให้ชัดเจนว่าจะทำอะไรบ้าง เรียงลำดับกิจกรรมก่อนและหลังให้ชัดเจน เพื่อสามารถนำโครงการไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและถูกต้อง |
| 11. ผลการศึกษาค้นคว้า |
| นำเสนอข้อมูลหรือผลการทดลองต่าง ๆ ที่สังเกตรวบรวมได้ รวมทั้งเสนอผล |
| การวิเคราะห์ข้อมูลที่วิเคราะห์ได้ด้วย |
| 12. สรุปผลและข้อเสนอแนะ |
| อธิบายผลสรุปที่ได้จากการทำโครงงาน ถ้ามีการตั้งสมมติฐาน ควรระบุด้วยว่าข้อมูล |
| ที่ได้สนับสนุนหรือคัดค้านสมติฐานที่ตั้งไว้ หรือยังสรุปไม่ได้ อกจากนี้ยังควรกล่าวถึงการนำผล |
| การทดลองไปใช้ประโยชน์ อุปสรรคของการทำโครงงานหรือข้อสังเกตที่สำคัญหรือข้อผิดพลาด |
| บางประการที่เกิดขึ้นจากการทำโครงงานนี้ รวมทั้งข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงแก้ไข หากมีผู้ศึกษา |
| ค้นคว้าในเรื่องที่ทำนองนี้ต่อไปในอนาคตด้วย |
| 13. เอกสารอ้างอิง |
| เอกสารอ้างอิง คือ รายชื่อเอกสารที่นำมาอ้างอิงเพื่อประกอบการทำโครงงาน วิทยาศาสตร์ ตลอดจนการเขียนรายงานการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ควรเขียนตามหลักการ ที่นิยมกัน http://www.google.com/ |
